รีวิว คุณอาเรียโต๊ะข้างๆพูดรัสเซียหวานใส่ซะหัวใจจะวาย
*บทความนี้มีสปอย*
คุณอาเรียโต๊ะข้างๆพูดรัสเซียหวานใส่ซะหัวใจจะวาย เป็นไลท์โนเวลแนวโรแมนซ์คอมมิดี้ ในตอนแรกดูเหมือนจะเป็นแนวโรแมนซ์คอมมิดี้เดิมๆ ซ้ำๆจำเจ หวานเลี่ยนจนน่าเบื่อ แต่เมื่อผมได้ลองซื้อมาอ่านดูแล้ว รู้ตัวอีกทีกก็เผลอเสียเงินกับเล่ม 2 และ 3 ไปแล้ว เพราะว่าความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่มีทั้ง นิสัยของตัวละครที่เป็นเอกกลักษณ์ ตัวละครที่ไม่ได้มีแค่มิติเดียว ปมและเรื่องในอดีตของตัวละครแต่ละตัว ไหนจะความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแต่ละตัว แถมยังฉากเซอร์วิสคนอ่านที่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวเยอะมากแต่ไม่กลับดูไม่น่าเบื่อ หรือเยอะเกินไปจนน่าเกลียด การใช้ภาษาที่สนุกและเรียบง่าย รวมไปถึงการแบ่งประเด็นในแต่ละเล่มที่น่าสนใจ บวกกับมีเซอร์ไพรส์ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย
ในไลท์โนเวลเรื่องนี้ ผมขอแบ่งโฟกัสออกเป็น 2 ประเด็นหลักนั้นคือ แก่นของเรื่องนี้ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร แก่นของเรื่องนี้คือการแข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นประธานสภานักเรียนของอาเรีย กับ ยูกิ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักๆเลยก็คือ ระหว่างนางเอกของเรื่องอย่าง อาเรีย มิฮาอิลลอฟนา คุโจ กับ พระเอกของเรื่องอย่าง คุเซะ มาซาจิกะ [สปอย] อาเรียที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-รัสเซีย เพราะอย่างนั้นเวลาอาเรียอยากจะพูดอะไรที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ หรือ อะไรที่ไม่อยากให้มาซาจิกะรู้ เธอก็มักจะพูดออกมาโดยใช้ภาษารัสเซีย เพราะอาเรียคิดว่ายังไงซะมาซาจิกะก็ไม่เข้าใจหรอก ถ้าถามก็ค่อยแถเป็นอย่างอื่นเอา แต่ความตริงแล้วมาซาจิกะรู้ภาษารัสเซียดี แถมฟังทุกคำที่อาเรียพูดรู้เรื่องแต่กลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง เช่นในตอนแรกที่อาเรียพูดกับมาซาจิกะว่า милашка พอมาซาจิกะถามว่าพูดอะไร อาเรียก็บอกแปลว่าน่าเกลียด ซึ่งจริงๆคำว่า милашка มันแปลว่าน่ารักต่างหาก [สปอย] เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ทั้งความรู้สึกของอาเรียที่ไม่กล้าและไม่อยากให้มาซาจิกะรู้ และความรู้สึกของมาซาจิกะที่รู้อยู่แล้วแต่ก็บอกไม่ได้ สองอารมณ์ที่ตีเข้ามาพร้อมกัน บอกกเลยว่าคนอ่านอย่างผมทำได้แค่นอนจิกหมอนจริงๆครับ ซึ่งที่ว่ามานี้แค่บทแรกเองนะ
ในแต่ละเล่มก็จะมีประเด็นย่อยที่น่าสนใจหลายจุด หนึ่งในนั้นก็คือเซอร์ไพรส์ของตัวละครอย่าง มาซาจิกะ กับเด็กผู้หญิงตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างยูกิ [สปอย] ตอนอยู่ที่โรงเรียนนิสัยของยูกิจะดูเป็นลูกคุณหนูเรียบร้อยสุภาพ แล้วก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของมาซาจิกะ ตัวผมก็คิดไปแล้วว่ามาแนวเพื่อนสมัยเด็กที่แอบชอบพระเอกสุดท้ายก็นกอีกแน่ๆ แต่ใครจะนึกละว่าจริงๆแล้วสองคนนี้มันเป็นพี่น้องกันน่ะ แถมตัวจริงยูกิยังเป็นโอตาคุสติไม่สมประกอบที่เบียวแบบสุดๆอีก แต่อย่างน้อยผม็เดาถูกเรื่องยูกิแอบชอบมาซาจิกะนะ แค่เปลี่ยนจากเพื่อนสมัยเด็กเป็นพี่น้องแค่นั้นเอง[สปอย]
สิ่งที่น่าสนใจอย่างต่อไปคือการ foreshadow หรือ การเขียนให้ดูเป็นลางบอกเหตุนั้นเองซึ่งก็ไม่ได้มีแค่อันเดียว แถมมีทั้งที่เฉลยในบทถัดไป กับที่ยังไม่เฉลยก็มี [สปอย] เช่นตอนที่มาซาจอกะป่วยจนต้องนอนอยู่บ้านแล้วอาเรียกับอายาโนะก็มาเยี่ยม ก่อนอาเรียจะกกลับอายาโนะก็ได้พูดเหมือนวันต่อไปที่โรงเรียนจะมีอะไรเกิดขึ้น รวมถึงตอนที่มาซาจิกะรู้ตัวว่าโดนแผนยูกิเล่นงานในตอนเช้าแล้วกำลังจะรีบไปช่วยอาเรียที่โรงเรียนแต่อายาโนะกลับขัดว่าสายไปแล้ว แล้วก็จบบทไปแบบดื่อๆเลย แต่ก็มาเฉลยในบทต่อไป ส่วยที่ยังไม่เฉลยก็คือตอนที่มาซาจิกะกำลังคุบกับเพื่อนอยู่ เพื่อนเขาก็บ่นนู้นนี่นั้น ส่วนมาซาจิกะก็ตอบแนะนำส่งๆแบบไม่คิดอะไรมาก แต่ก่อนจะจบบทคนแต่งกลับเขียนว่า สิ่งที่มาซาจิกะพูดไปแบบไม่คิดอะไรมากนั้นกลับเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคตที่มาซาจิกะต้องเสียใจ โดยที่มาซาจิกะไม่ได้รู้ตัวเลย[สปอย] จบแบบนี้แถมจนตอนนี้ก็ยังไม่เฉลยซะด้วย ที่ส่วนที่ยังไม่เฉลยผมคิดว่าคนแต่งน่าจะอยากให้คนอ่านได้จินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้เจาะจงกว่านั้นก็คือคนแต่งน่าจะอยากให้คนอ่านได้เพ้อแล้วก็จิตฟุ้งซ้านว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีความเป็นไปได้แบบไหนได้บ้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะจริงหรือไม่ ซึ่งช่วยเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของคนอ่านได้ดี แถวทำให้คนอ่านตื่นเต้นจนอยากจะติดตาม อยากจะรู้ไวๆเลยล่ะ
ประวัติของตัวละครแต่ละตัวก็เป็นอีกส่วนนึงที่ช่วยเพิ่มอารมณ์ให้กับคนอ่านแถมยังทำให้คนอ่านได้รู้จักกับตัวละครมากขึ้นด้วย ผมคิดว่าคนแต่งตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งให้การเล่าประวัติของตัวละครเป็นบทๆนึงเต็มบทไปเลย เพราะมันช่วยเพิ่มความอิน แถมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวที่อยู่คนละขั่วเลยถ้าเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น [สปอย] มาซาจิกะที่กว่าครึ่งเล่มปูมาให้เป็นนักเรียนขี้เกียจธรรมดาถึงตอนเอาจริงจะเก่งอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพี่น้องกับยูกิ แล้วก็เป็นเด็กอัจฉริยะแห่งตระกูลสุโอที่เลือกที่จะทิ้งภาระหน้าที่ของตระกูลออกมาใช้ชีวิตธรรมดา อาเรียในอดีตก็มีปมที่ทำทุกอย่างเต็มที่แต่เพื่อนๆกลับไม่ได้พยายามเท่าเธอเลย สุดท้ายก็ทะเลาะกับเพื่อนแล้วหลังจากนั้นก็คิดจะแบกงานทุกอย่างคนเดียว เพราะคิดว่าไม่มีใครทำได้เท่าเธอและไม่คิดจะคบกับพวกครึ่งๆกลางๆด้วย แต่ความคิดก็ต้องเปลี่ยนเมื่อได้เจอกับมาซาจิกะตอนทำงานโรงเรียน ที่ทำให้เธอได้เปลี่ยนความคิดแล้วก็มองมาซาจิกะใหม่[สปอย]
อย่างที่เคยเกริ่นไปว่าเรื่องมิติของตัวละครก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนอ่านขนลุกและเซอร์ไพรส์ได้เหมือนกัน [สปอย] ทั้งมาซาจิกะที่เป็นคนไม่เอาอะไรแต่พอจริงจังขึ้นมาแล้วก็น่ากลัวสุดๆ อาเรียที่ภายนอกได้ฉายาว่า องค์หญิงผู้สันโดษ แต่ภายในกลับลนลาน ลอกแลก บ้าการแข่งขัน ไม่ยอมใคร แล้วก็เขินง่ายมาก ยูกิที่จากสายตาคนภายนอกเป็นผู้ดี เรียบร้อย สุภาพ ลูกคุณหนู แต่พออยู่กับมาซาจิกะ เป็นโอตาคุเบียวๆขาดๆเกินๆน่ารัก แต่พอต้องเอาจริงก็ใช้เล่ห์เหลียม วางแผน แล้วแสดงท่าทางและสีหน้าชั่วร้ายออกมาได้จนคนอ่านต้องขนลุกเลยทีเดียว ไหนจะอายาโนะที่เป็นคนรับใช้ของยูกิที่เป็นคนนิ่งเงียบไร้อารมณ์แต่ภายในเป็นมาโซคิสที่พูดเรื่องอะไรอย่างงั้นออกมาด้วยหน้าตาใสๆ[สปอย] การที่คนเขียนทำให้ตัวละครไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่มีนิสัยและตัวตนสองด้านที่ต่างกันแบบสุดๆ โดยเฉพาะยูกิที่มีถึงสาม แถมแต่ละตัวตนก็ไม่เหมือนกันเลยซักนิดอีกด้วย ทำให้รู้สึกว่าต่อให้ไม่ใช่ตัวหลักแต่ก็ไม่มีตัวละครไหนที่ใช้แบบทิ้งๆขว้างๆ ทำให้รู้สึกกสนใจในตัวละคร เริ่มผูกพัน แล้วก็รักตัวละครตัวนั้นมากขึ้น [สปอย]
ต่อไปขอพูดถึงการแบ่งเนื้อหาของเรื่อง ซึ่งคนแต่งแบ่งไว้ค่อนข้างจะชัดเจนในแต่ละเล่ม ซึ่งก็จะจบด้วยการคลายปมในบทสุดท้ายของทุกเล่ม ยกตัวอย่างเช่น เล่มแรกจะโฟกัสที่ปมของมาซาจิกะ [สปอย]ที่เคยเป็นถึงอดีตรองประธานสภานักเรียน แต่ด้วยความที่ตัวของมาซาจิกะรู้สึกสงสัยและสับสนในตัวเอง ทั้งเรื่องเป้าหมายของเขา หรือ ถ้าเทียบกับคนอื่นที่ทุ่มเทและพยายามแทบตายแต่ไม่มีโอกาศแล้วตัวเขานั้นกลับได้อยู่ในสภานักเรียนโดยไม่มีความพยายามอะไรเลย หลังจากนั้นก็เลยลาออกจากสภานักเรียน แต่หลังจากที่ขึ้นม.ปลายแล้ว กลับมีคนรอบตัวมากมายมาทาบทามให้เข้าไปเป็นสมาชิกสภานักเรียน ไม่ว่าจะเป็น ยูกิ อาเรีย รวมถึงตัวประธานสภานักเรียนเองก็ด้วย แต่ด้วยความลังเล สังสัย และยังดูถูกความสามารถตัวเอง มาซาจิกะก็ปฏิเศษเสียงแข็งมาตลอด แต่พอมาถึงบทสุดท้ายในตอนที่อาเรียต้องไปไกล่เกลี่ยเรื่องทะเลาะกันระหว่างชมรมบาส และ ชมรมบอล ไม่มีใครฟังที่อาเรียพูดเลย ในตอนที่อาเรียนั้นทำอะไรไม่ถูกจนพูดเสียงเบาเป็นภาษารัสเซียออกมาว่า ช่วยด้วย มาซาจิกะที่แอบฟังอยู่ทันทีที่ด้ยินอาเรียพูดแค่คำนั้นคำเดียว ทั้งความลังเล ความสังสัยก็หายไป พร้อมกับเปิดประตูออกไปแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ กองหนุนจากสภานักเรียนมาแล้ว ผมคุเซะ มาซาจิกะ ฝ่ายธุรการของสภานักเรียนครับ” แถมในบทส่งท้ายก็มีฉากและภาพบอกรักของอาเรียที่เป็นภาษารัสเซียด้วย[สปอย] ทุบโต๊ะ บอกได้คำเดียวว่าอ่านถึงตรงนี้ผมทุบโต๊ะจนหักอะบอกเลย โต๊ะเหรอ? เปล่าหรอกมือผมนี่แหละ ตรงนั้นคือตอนอ่านอยู่ดีๆอารมณ์มันก็พุ่งเข้ามาแรงมาก คือมันสุดจริงๆจนอธิบายไม่ถูกเลย ผมรู้สึกว่าผู้แต่งเลือกที่จะเขียนแบบนี้เป็นการเขียนที่ฉลาดเพราะว่าเป็นการที่ทำให้คนอ่านอารมณ์ค้าง แต่ไม่ได้ค้างแบบพวกที่ทิ้งปมไว้แล้วจบดื่อๆ แต่เป็นค้างด้วยอารมณ์แห่งความสุขและอิ่มและพอปิดนิยายไปแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่า “เอามาอีก” นั้นเอง
พูดอวยกันมาขนาดนี้ผมขอพูดถึงข้อเสียมั้งแล้วกัน ข้อเสียของเรื่องนี้ที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ฉากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตั้งใจเขียนออกมาให้ดูเขิน น่ารัก แต่ผมกลับรุ้สึกว่าในฉากนี้ตัวของ อาเรีย กับ มาซาจิกะเขินกันเยอะมากสำหรับบทๆนึง ถึงจะไม่ได้เยอะจนเลี่ยน แต่สำหรับผมก็แอบรู้สึกกว่ามันเยอะไปนิดนึง แล้วก็เยอะพอที่จะเป็นข้อเสียได้ อีกเรื่องนึงคือภาษารัสเซียของอาเรียนั้นเรียกได้ว่าเป็นเซอร์วิสของคนอ่านที่ดีต่อใจมากๆ แต่ในบางบทมันก็มีเยอะเกินไป จนทำให้ความรู้สึกพิเศษมันหายไปแปปนึงเหมือนกัน
โดยสรุปแล้วผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีอบอุ่นหัวใจ หวานน้ำตาลขึ้น แล้วก็ตลกไม่แป๊ก บวกกับสไตล์การเขียนที่อ่านง่ายไม่น่าเบื่อ สนุก ใช้ภาษาสบายๆ เป็นเรื่องสำหรับคนที่ชอบแนวโรแมนติกคอมมิดี้แต่ไม่อยากจะเจออะไรเดิมๆ อยากจะให้มาลองได้อ่านเรื่องนี้ดู เป็นเรื่องที่อ่านเพลินๆได้ทั้งวัน